เหล็กคุณภาพดีมักเป็นเหล็กที่ผ่านกระบวนการจากเตา EF เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล็กจาก TATA TISCON ที่นอกจากจะเข้มงวดกับกระบวนการหลอมและค่าเคมีแล้ว ยังผ่านมาตรฐานเตาหลอม EF ระดับโลกอีกด้วย มาทำความรู้จักกับเหล็กจากเตา EF กันครับ
เหล็กชนิดนี้จะผ่านกระบวนการหลอมเศษเหล็กจากเตา EF จนกลายเป็นน้ำเหล็ก จากนั้นจะมีการกำจัดสิ่งปนเปื้อนและค่าเคมีที่อาจส่งผลเสียกับเหล็กผ่านกระบวนการ Oxidation ด้วยการทำให้สิ่งสกปรกหรือธาตุต่างๆ ในเหล็กลอยขึ้นเหนือผิวน้ำเหล็กเป็นตะกรัน เหล็กจึงสะอาดเหมือนใหม่ ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือการเติมธาตุ ให้เหล็กแข็งแรง เหนียว ยืดหยุ่น และมีค่าเคมีที่สม่ำเสมอมากขึ้น
เหล็กที่ได้จากเตา EF จึงเป็นเหล็กเนื้อแน่น สะอาด ทำให้เหล็กมีความแข็งแกร่ง ทนทาน คุณภาพดี เหมาะสำหรับงานก่อสร้างทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโปรเจกต์ขนาดเล็กหรือใหญ่ หากเลือกใช้เหล็กจากเตา EF ก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง
นอกจากนี้ การเลือกใช้เหล็กโรงใหญ่หรือเหล็กโรงเล็กก็ยังสร้างผลลัพธ์ในการใช้งานที่ต่างกันอีกด้วย โดยเหล็กโรงใหญ่หรือเหล็กเต็ม (มอก.) นั้นจะผ่านมาตรฐานมอก. มีเส้นผ่านศูนย์กลางและน้ำหนักตามมาตรฐานที่กำหนด ส่วนเหล็กโรงเล็กหรือเหล็กเบาจะตรงกันข้ามกับเหล็กโรงใหญ่ครับ
ถึงแม้เหล็กเบาจะมีต้นทุนต่ำกว่าในระยะเริ่มต้นก่อสร้าง แต่เมื่อเปรียบเทียบในระยะยาว เหล็กเต็มกลับช่วยคุมงบประมาณ การดูแลรักษา ซ่อมแซม ทั้งยังปลอดภัยมากกว่า เพราะเป็นเหล็กที่ผ่านมาตรฐานและมีคุณภาพดีกว่านั่นเอง
วิธีการตรวจสอบว่าเหล็กที่ใช้เป็นเหล็กชนิดใดนั้น มีวิธีการง่ายๆ ดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบด้วยสายตา โดยสังเกตจากป้ายฉลากสินค้า (Tag) และ ตัวนูนบนผิวเหล็ก โดยมักจะมีรายละเอียดแสดงไว้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องหมายการค้า โรงงานผู้ผลิต ประเภทของสินค้า ชั้นคุณภาพ ขนาด และกระบวนการผลิต ถ้าเหล็กมีรายละเอียดเหล่านี้ครบถ้วน ก็แสดงว่าเป็นเหล็กโรงใหญ่นั่นเอง
2. นำเหล็กมาชั่งน้ำหนัก ว่าเป็นไปตามมาตรฐานที่มอก. กำหนดหรือเปล่า ถ้าตรงตามที่มอก. ระบุไว้ ก็แสดงว่าเป็นเหล็กโรงใหญ่หรือเหล็กเต็ม
หรือหากยังไม่แน่ใจ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ คือ การเลือกใช้เหล็กโรงใหญ่ที่ไว้ใจได้ อย่างเหล็กเส้นจาก TATA TISCON ที่ผู้ใช้งานไว้วางใจให้ผลิตเหล็กมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพหรือมาตรฐานของเหล็ก ก็ใช้งานได้อย่างสบายใจแน่นอน